1.สัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิส
สูตรโครงสร้างของลิวอิส
เป็นสูตรโครงสร้างที่กิลเบิร์ต
ลิวอิสได้คิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้ในการอธิบายรูปร่างโมเลกุล
2.พันธะไออนิก
IUPAC นิยามพันธะไอออนิกว่าเป็น
"พันธะระหว่างอะตอมที่มีอิเล็กโทรเนกาทิวิตีต่างกันอย่างมาก" ในที่นี้
พันธะไอออนิก หมายถึง
แรงยึดเหนี่ยวทางไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้นระหว่างประจุไฟฟ้าของไอออนบวกและไอออนลบ
ซึ่งแตกต่างเปรียบเทียบกับพันธะโคเวเลนต์อย่างแท้จริง ในทางปฏิบัติ
เรามักจะพิจารณาค่าความเป็นไอออนิกของพันธะ
มากกว่าที่จะบอกว่าเป็นพันธะไอออนิกหรือพันธะโคเวเลนต์อย่างแท้จริง
2.1การเกิดพันธะไอออนิก
เกิดจากที่อะตอมหรือกลุ่มของอะตอมสร้างพันธะกันโดยที่อะตอมหรือกลุ่มของอะตอมให้อิเล็กตรอนกับอะตอมหรือกลุ่มของอะตอม
ทำให้กลายเป็นประจุบวก ในขณะที่อะตอมหรือกลุ่มของอะตอมที่ได้รับอิเล็กตรอนนั้นกลายเป็นประจุลบ
เนื่องจากทั้งสองกลุ่มมีประจุตรงกันข้ามกันจะดึงดูดกัน ทำให้เกิดพันธะไอออน
โดยทั่วไปพันธะชนิดนี้มักเกิดขึ้นระหว่างโลหะกับอโลหะ
โดยอะตอมที่ให้อิเล็กตรอนมักเป็นโลหะ ทำให้โลหะนั้นมีประจุบวก
และอะตอมที่รับอิเล็กตรอนมักเป็นอโลหะ จึงมีประจุลบ
ไอออนที่พันธะไอออนมีความแข็งแรงมากกว่าพันธะไฮโดรเจน แต่แข็งแรงพอ ๆ
กับพันธะโคเวเลนต์
2.2สูตรเคมีและชื่อของสารประกอบไอออนิก
เนื่องจากสารประกอบไอออนิกมีลักษณะการสร้างพันธะต่อเนื่องกันเป็นผลึก
ไม่ได้อยู่ในลักษณะของโมเลกุลเหมือนในสารประกอบโคเวเลนต์
ดังนั้นสารประกอบไอออนิกจึงไม่มีสูตรโมเลกุลที่แท้จริง
แต่จะมีการเขียนสูตรเพื่อแสดงอัตราส่วนอย่างต่ำของจำนวนธาตุต่าง ๆ
ที่เป็นองค์ประกอบ เช่น โซเดียมคลอไรด์ เกิดจากอะตอมของธาตุโซเดียม (Na)
อย่างน้อยที่สุด 1 อะตอม และอะตอมของธาตุคลอรีน
(Cl) อย่างน้อยที่สุด 1 อะตอม
จึงสามารถเขียนสูตรได้เป็น NaCl โดยการเขียนสูตรของสารประกอบไอออนิกจะเขียนนำด้วยธาตุที่เกิดเป็นไอออนบวกก่อน
จากนั้นจึงเขียนตามด้วยธาตุที่เกิดเป็นไอออนลบตามลำดับ
วิธีการอ่านชื่อสารประกอบไอออนิกให้อ่านตามลำดับของธาตุที่เขียนในสูตร คือ
เริ่มจากธาตุแรกซึ่งเกิดเป็นไอออนบวก (ธาตุโลหะ)
แล้วตามด้วยธาตุหลังซึ่งเป็นไอออนลบ (ธาตุอโลหะ) ดังนี้
1. เริ่มจากอ่านชื่อไอออนบวก
(ธาตุโลหะ) ก่อน
2. อ่านชื่อธาตุไอออนลบ
(ธาตุอโลหะ) โดยเปลี่ยนเสียงสุดท้ายเป็น -ไอด์ (-ide) ดังตัวอย่างเช่น
NaCl อ่านว่า โซเดียมคลอไรด์
MgO อ่านว่า แมกนีเซียมออกไซด์
Al2O3 อ่านว่า อะลูมิเนียมออกไซด์
3. หากไอออนลบมีลักษณะเป็นกลุ่มธาตุ
จะมีชื่อเรียกเฉพาะที่แตกต่างกัน เช่น No3-
เรียกว่า ไนเดรต, CO32- เรียกว่า คาร์บอเนต, SO42- เรียกว่า ซัลเฟต OH- เรียกว่า
ไฮดรอกไซด์ เป็นต้น ดังตัวอย่างเช่น
CaCO3
อ่านว่า แคลเซียมคาร์บอเนต
Na2SO4 อ่านว่า โซเดียมซัลเฟต
2.3พลังงานกับการเกิดสารประกอบไอออนิก
1.โลหะโซเดียมที่อยู่ในสถานะของแข็งระเหิดกลายเป็นไอ
(กลายเป็นอะตอมในสถานะก๊าซ) ขั้นนี้ต้องใช้พลังงาน หรือดูดพลังงานเท่ากับ 109
kJ/mol เรียกพลังงานที่ใช้ในขั้นนี้ว่าพลังงานการระเหิด (Heat
of siblimation) สัญลักษณ์ "Hs" หรือ
"S"
2.โมเลกุลของคลอรีน (Cl2(g))
ซึ่งอยู่ในสถานะก๊าซแตกตัวออกเป็นอะตอมในสถานะก๊าซ (Cl(g))
แต่ในการเกิด NaCl(s)
1 mol ต้องใช้ Cl(g) เพียง 1 mol ดังนั้นขั้นนี้ต้องใช้พลังงานหรือดูดพลังงานเท่ากับ 121 kJ เรียกพลังงานที่ใช้ในขั้นนี้ว่า พลังงานสลายพันธะ หรือพลังงานการแตกตัว (Bond
Dissociation energy) สัญลักษณ์ "Hdis" หรือ "d"
3.อะตอมของโซเดียมในสถานะก๊าซ เสีย 1
เวเลนซ์อิเลคตรอน กลายเป็นโซเดียมไอออนในสถานะก๊าซ
ขั้นนี้ต้องใช้พลังงานหรือดูดพลังงาน 494 kJ/mol เรียกพลังงานที่ใข้ในขั้นนี้ว่า พลังงานไอออไนเซชั่น(Ionization
Energy) สัญลักษณ์ "IE" หรือ "I"
4.คลอรีนอะตอมในสถานะก๊าซรับอิเลคตรอนกลายเป็นคลอไรด์ไอออนในสถานะก๊าซ(Cl-(g))
ขั้นนี้คายพลังงานออกมา 347 kJ/mol พลังงานที่คายออกมาในขั้นนี้เรียกว่า
อิเลคตรอนอัฟฟินิตีหรือสัมพรรคภาพอิเลคตรอน (Electron Affinity) สัญลักษณ์ E หรือ EA
5.โซเดียมไอออนในสถานะก๊าซ
และคลอไรด์ไอออนในสถานะก๊าซรวมตัวกันด้วยพันธะไอออนิกได้ผลึกโซเดียมครอไรด์ (NaCl(s))
ขั้นนี้คายพลังงานออกมา 787 kJ/mol พลังงานที่คายออกมาในขั้นนี้เรียกว่าพลังงานแลคทิซ
หรือพลังงานโครงร่างผลึก (Lattic Energy) สัญลักษณ์ U
หรือ Ec
แสดงว่าในการเกิด NaCl(s)
เป็นการเปลี่ยนแปลงประเภทคายพลังงาน คือ เมื่อเกิด NaCl 1
mol จะคายพลังงานเท่ากับ 410 kJ
พลังงานที่คายออกมาเรียกว่า
พลังงานของปฏิกิริยาหรือความร้อนของปฏิกิริยาหรือความร้อนของการเกิดสาร สัญลักษณ์
"Hf"
2.4สมบัติของสารประกอบไอออนิก
1. สารประกอบไอออนิกไม่มีสูตรโมเลกุล
มีแต่สูตรเอมพิริกัล
2. สารประกอบไอออนิกมีจุดเดือด
จุดหลอมเหลวสูง เช่น NaCl จุดหลอมเหลว 8010C
3. สารประกอบไอออนิกในภาวะปกติเป็นของแข็ง
ประกอบด้วยไอออนบวก และไอออนลบ ไอออนเหล่านี้ไม่เคลื่อนที่ ดังนั้นจึงไม่นำไฟฟ้า
แต่เมื่อหลอมเหลวหรือละลายน้ำ จะแตกตัวเป็นไอออนเคลื่อนที่ได้
เกิดเป็นสารอิเล็กโทรไลต์จึงสามารถนำไฟฟ้าได้
4. สารประกอบไอออนิกชนิดที่ละลายน้ำได้
จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานเกิดขึ้นเสมอ อาจเป็นแบบคายหรือดูดพลังงาน เช่น KCl
1 โมล ละลายน้ำ ดูดพลังงาน = 17 kJ/mol
5. สารประกอบไอออนิกที่เกิดจากอะตอมโลหะกับอะตอมอโลหะ
สร้างเฉพาะพันธะไอออนิกอย่างเดียว เช่น NaCl , MgCl2, K2S , CaO
6. สารประกอบไอออนิกที่เกิดจากโลหะหรือกลุ่มอะตอมอโลหะที่เกิดไอออนบวกกับอโลหะ
หรือกลุ่มอะตอมอะโลหะที่เป็นไอออนลบ สารพวกนี้จะมีทั้งพันธะไอออนิก
และพันธะโคเวเลนต์ เช่น CaCO3, NH4Cl , CaCO3มีพันธะไอออนิกระหว่างไอออนบวกคือ
Ca2+กับไอออนลบคือ [CO3]2-และมีพันธะโคเวเลนต์ในส่วนที่เป็นไอออนลบคือ
[CO3]2-
2.5สมการไอออนิกและสมการไอออนิกสุทธิ
สมการไอออนิก (Ionic equation ) คือ
สมการเคมีที่เขียนเฉพาะไอออนหรือโมเลกุลของสารที่มีส่วน
ในการเกิดปฏิกิริยา
ส่วนไอออนหรือโมลกุลของสารใดไม่มีส่วนในการเกิดปฏิกิริยาไม่ต้องเขียน สมการไอออนิก จะต้องเป็น
สมการที่มีสารใดสารหนึ่งเป็นไอออนร่วมอยู่ด้วยในปฏิกิริยานั้น เช่น
Zn (s) + 2H+
(aq) ---------------> Zn2+ (aq)
+ H2 (g)
H+ (aq) + OH-
(aq) --------------------> H2O (l)
ขั้นตอนการเขียนสมการไอออนิกและสมการไอออนิกสุทธิ
1.
เขียนสมการการแตกตัวเป็นไอออนในน้ำของสารตั้งต้นพร้อมทั้งดุลสมการ
2. จับคู่ไอออนบวกและไอออนลบที่มาจากสารตั้งต้นต่างชนิดกันเพื่อรวมตัวกันเป็นผลิตภัณฑ์
3.
พิจารณาสมบัติการละลายน้ำของผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น
ถ้าผลิตภัณฑ์ไม่ละลายน้ำจะต้องเขียนสูตรโมเลกุลในสมการ แต่ถ้าผลิตภัณฑ์ละลายน้ำ แสดงว่าผลิตภัณฑ์จะอยู่ในรูปของไอออนบวกและไอออนลบ
4. เขียนสมการไอออนิก
โดยเขียนสูตรไอออนบวกและไอออนลบของสารตั้งต้นที่ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่ไม่ละลายน้ำ
และเขียนสูตรโมเลกุลของผลิตภัณฑ์ที่ไม่ละลายน้ำด้วย
หมายเหตุ
สารที่เขียนสูตรโมเลกุลในสมการไอออนิก
จะต้องเป็นสารที่ไม่ละลายน้ำหรือมีสถานะเป็นก๊าซหรือไม่แตกตัวเป็นไอออน
3.พันธะโคเวเลนต์
นิยามโดย IUPAC
"บริเวณที่มีความหนาแน่นสัมพัทธ์ของอิเล็กตรอนสูงระหว่างนิวเคลียส
ที่มีการใช้อิเล็กตรอนร่วมกันและก่อให้เกิดแรงดึงดูดและระยะทางระหว่างนิวเคลียสที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ"
3.1การเกิดพันธะโคเวเลนต์
เกิดจากอะตอมของอโลหะทำปฏิกิริยากับอะตอมของอโลหะโดยอะตอมของอโลหะจะนำอิเล็กตรอนวงนอกมาใช้ร่วมกันเป็นคู่
ๆเพื่อให้อยู่สภาวะที่เสถียร และจะอยู่เป็นโมเลกุลชัดเจนว่า1โมเลกุลมีกี่อะตอม
3.2สูตรโมเลกุลและชื่อของสารโคเวเลนต์
การเขียนสูตรสารประกอบโคเวเลนต์
1. ให้เรียงลำดับธาตุให้ถูกต้องตามหลักสากล
ดังนี้คือ Si , C , Sb , As , P , N , H , Te , Se , S , At , I , Br , Cl
, O , F ตามลำดับ
2. ในสารประกอบโคเวเลนต์
ถ้าอะตอมของธาตุมีจำนวนอะตอมมากกว่าหนึ่งให้เขียนจำนวนอะตอมด้วยตัวเลขแสดงไว้มุมล่างทางขวา
ในกรณีที่ธาตุในสารประกอบนั้นมีเพียงอะตอมเดียวไม่ต้องเขียนตัวเลขแสดงจำนวนอะตอม
3. หลักการเขียนสูตรสารประกอบโคเวเลนต์ที่มีอะตอมของธาตุจัดเวเลนต์อิเล็กตรอน
เป็นไปตามกฎออกเตต ใช้จำนวนอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะของแต่ละอะตอมของธาตุคูณไขว้
การเรียกชื่อสารประกอบโคเวเลนต์
1.สารประกอบของธาตุคู่
ให้อ่านชื่อธาตุที่อยู่ข้างหน้าก่อนแล้ว
ตามด้วยชื่อธาตุที่อยู่หลังโดยเปลี่ยนเสียงพยางค์ท้ายเป็น ไอด์ ( ide)
2.
ให้ระบุจำนวนอะตอมของแต่ละธาตุด้วยเลขจำนวนในภาษากรีกดังนี้
3. ถ้าสารประกอบนั้น อะตอมของธาตุแรกมีเพียงอะตอมเดียวไม่ต้องระบุจำนวนอะตอมของธาตุนั้น
แต่ถ้าเป็นธาตุข้างหลังในสารประกอบ
ถึงแม้มีเพียงหนึ่งอะตอมก็ต้องระบุจำนวนอะตอมด้วยคำว่า “มอนอ”
เสมอ เช่น
N2O3อ่านว่า
ไดไนโตรเจนไตรออกไซด์
PCl5อ่านว่า
ฟอสฟอรัสเพนตะคลอไรด์
3.3ความยาวพันธะและพลังงานพันธะของสารโคเวเลนต์
พลังงานพันธะ หมายถึง
พลังงานที่น้อยที่สุดที่ใช้เพื่อสลายพันธะที่ยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมคู่หนึ่งๆในโมเลกุลในสถานะแก๊ส พลังงานพันธะสามารถบอกถึงความแข็งแรงของพันธะเคมีได้
โดยพันธะที่แข็งแรงมากจะมีพลังงานพันธะมาก
และพันธะที่แข็งแรงน้อยจะมีพลังงานพันธะน้อย
พลังงานพันธะเฉลี่ย หมายถึง ค่าพลังงานเฉลี่ยของพลังงานสลายพันธะ
ของอะตอมคู่หนึ่งๆ ซึ่งเฉลี่ยจากสารหลายชนิด เช่น การสลายโมเลกุลมีเทน (CH4)
ให้กลายเป็นอะตอมคาร์บอนและไฮโดรเจน
มีสมการและค่าพลังงานที่เกี่ยวข้องดังนี้
CH4(g) + 435 kJ → CH3(g) + H(g)
CH3(g) + 453 kJ → CH2(g) + H(g)
CH2(g) + 425
kJ → CH(g)
+ H(g)
CH(g)
+ 339 kJ → C(g) + H(g)
ความยาวพันธะ หมายถึง ระยะระหว่างจุดศูนย์กลางของนิวเคลียสของอะตอมทั้งสองที่เกิดพันธะกัน
3.4รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์
ขึ้นอยู่กับทิศทางของพันธะโคเวเลนต์ , ความยาวพันธะ , และมุมระหว่างพันธะ โคเวเลนต์รอบอะตอมกลาง
ทิศทางของพันธะขึ้นอยู่กับแรงผลักระหว่างพันธะรอบอะตอมกลาง
เพื่อให้ห่างกันมากที่สุด แรงผลักของอิเล็กตรอนคู่อิสระของอะตอมกลางที่มีต่อพันธะรอบอะตอมกลางแรงนี้มีค่ามากกว่าแรงที่พันธะผลักกันเอง
3.5สภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์
สภาพขั้วของพันธะโคเวเลนต์ (Polarity
of covalent bond) คือ ความแรงของขั้วของพันธะโคเวเลนต์ กล่าวคือ
พันธะโคเวเลนต์ใดที่มีอะตอมของธาตุทั้งสองมีผลต่างของค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีมาก
ขั้วของพันธะโคเวเลนต์มีขั้วนั้นจะมีอำนาจขั้วไฟฟ้ามาก คือ มีสภาพขั้วแรง
ส่วนพันธะโคเวเลนต์ใดที่มีอะตอมของธาตุทั้งสองมีผลต่างของค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีน้อย
ขั้วของพันธะโคเวเลนต์มีขั้วนั้นจะมีอำนาจไฟฟ้าน้อย คือ มีสภาพขั้วต่ำ เช่น
HCl H มี EN = 2.20 Cl มี EN = 3.16
ผลต่างของค่า EN
ของอะตอม H กับ Cl = 3.16
- 2.20 = 0.96
FCl F มี EN = 3.98 Cl มี EN = 3.16
ผลต่างของค่า EN
ของอะตอม F กับ Cl = 3.98
- 3.16 = 0.82
จะเห็นได้ว่าผลต่างของค่า EN
ที่เกิดจากธาตุของพันธะ H - Cl มากกว่าของพันธะ
F - Cl ดังนั้นขั้วของพันธะ H - Cl มีสภาพขั้วแรงกว่า
ขั้วของพันธะ F – Cl
3.6แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลและสมบัติของสารโคเวเลนต์
จากความรู้เรื่องธาตุหมู่ 8A
(ก๊าซเฉื่อย) จัดเป็นธาตุที่เฉื่อยต่อการเกิดปฏิกิริยากับธาตุอื่นๆ
ที่เป็นเช่นนี้เพราะก๊าซเฉื่อยมีการจัดเรียงอิเล็กตรอนในวงนอกสุดเป็น 8 (ยกเว้น He เป็น 2) ทำให้โครงสร้างอะตอมของก๊าซเฉื่อยเสถียร
มีพลังงานต่ำ ดังนั้นในการสร้างพันธะเคมีของอะตอมของธาตุอื่นๆ
จึงพยายามที่จะทำให้ตัวเองเสถียรเหมือนก๊าซเฉื่อย โดยอาจจะมีการจ่าย
เวเลนซ์อิเล็กตรอนออกไปหรือรับอิเล็กตรอนเพิ่มเข้ามา
หรือนำเอาเวเลนซ์อิเล็กตรอนมาใช้ร่วมกับอะตอมอื่น ทั้งนี้เพื่อทำให้
เวเลนซ์อิเล็กตรอนครบ 8 ซึ่งเป็นไปตามกฎที่ใช้สร้างพันธะเคมี
เรียกกฎนี้ว่า“กฎออกเตต”(Octet rule)
แรงยึดเหนี่ยวของสารมี 2 ประเภท
1. แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลการทำให้สารเปลี่ยนแปลงจะต้องใช้พลังงานจำนวนหนึ่ง
ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของสาร
ข้อมูลที่ยืนยันว่าสารมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ได้แก่ จุดเดือด จุดหลอมเหลว
ความร้อนแฝง
การที่ต้องใช้พลังงานจำนวนหนึ่งทำให้ของแข็งเป็นหลอมเหลวหรือเปลี่ยนสถานะจากของแข็ง
ของเหลว การที่จะให้ของเหลวเดือดหรือเปลี่ยนแปลงสถานะ จากของเหลวกลายเป็นไอ เช่น
น้ำในสถานะของเหลว ณ อุณหภูมิห้อง เมื่อได้รับ ความร้อนจะระเหยกลายเป็นไอ
ไอน้ำก็คือโมเลกุลของน้ำ
ซึ่งแสดงว่าโมเลกุลของน้ำจะต้องมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างกันอยู่
2. แรงยึดเหนี่ยวภายในโมเลกุลโดยทั่วไป
โมเลกุลของสารจะประกอบด้วยอะตอมตั้งแต่ 2 อะตอมขึ้นไป เช่น HCl,
HNO3, NH3 เป็นต้น (ยกเว้นโมเลกุลของก๊าซเฉื่อยซึ่ง 1 โมเลกุลประกอบด้วยหนึ่งอะตอม เช่น He, Ne, Ar) จากการทดลองพบว่าการที่จะทำให้โมเลกุลเหล่านี้สลายตัวออกเป็นอะตอมต้องใช้พลังงานจำนวนหนึ่ง
เช่น ถ้าต้องการจะทำลายพันธะระหว่างคาร์บอน-คาร์บอน ในอีเทน(ethane;H3C-CH3),
เอทิลลีน(ethylene ; H2C=CH2) และ อะเซทิลีน(acetylene;HCºCH)
พันธะของคาร์บอน-คาร์บอน ในโมเลกุลเหล่านี้เป็น พันธะเดี่ยว
พันธะคู่ และพันธะสาม ตามลำดับ และพลังงานที่ใช้ในการสลายพันธะจะขึ้นอยู่กับชนิดของพันธะระหว่างคาร์บอน-คาร์บอน
คือเมื่อ H = แทนพลังงานที่ถ่ายเทจากสิ่งแวดล้อมเข้าไปในโมเลกุล
ส่วนเครื่องหมายบวก (+) หมายความว่า
การสลายพันธะในโมเลกุลเป็นกระบวนการดูดความร้อน (endothermic) จากตัวอย่างข้างต้น แสดงให้เห็นว่าอะตอมของธาตุต้องมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมในโมเลกุลและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมคู่หนึ่ง
ๆ ในโมเลกุล เรียกว่า พันธะเคมี (chemical bond)
3.7สารโคเวเลนต์โครงร่างตาข่าย
สารโคเวเลนต์ที่ศึกษามาแล้วมีโครงสร้างโมเลกุลขนาดเล็ก
มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่ำ
แต่มีสารโคเวเลนต์บางชนิดมีจุดเดือดจุดหลอมเหลวจะสูงมาก โครงสร้างโมเลกุลขนาดใหญ่
เพราะเกาะกันแบบโครงร่างตาข่าย เรียกว่า สารโครงผลึกร่างตาข่าย เช่น เพชร แกรไฟต์
4.พันธะโลหะ
4.1การเกิดพันธะโลหะ
แรงยึดเหนี่ยวที่ทำให้อะตอมของโลหะ
อยู่ด้วยกันในก้อนของโลหะ โดยมีการใช้เวเลนต์อิเล็กตรอนร่วมกันของอะตอมของโลหะ
โดยที่เวเลนต์อิเล็กตรอนนี้ไม่ได้เป็นของอะตอมหนึ่งอะตอมใดโดยเฉพาะ
เนื่องจากมีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา ทุกๆอะตอมของโลหะจะอยู่ติดกันกับอะตอมอื่นๆ
ต่อเนื่องกันไม่มีที่สิ้นสุด จึงทำให้โลหะไม่มีสูตรโมเลกุล
ที่เขียนกันเป็นสูตรอย่างง่าย หรือสัญลักษณ์ของธาตุนั้นเอง
4.2สมบัติของโลหะ
1. โลหะเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี
เพราะอิเล็กตรอนเคลื่อนที่ได้ง่าย
2. โลหะมีจุดหลอมเหลวสูง
เพราะเวเลนต์อิเล็กตรอนของอะตอมทั้งหมดในก้อนโลหะยึดอะตอมไว้อย่างเหนียวแน่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น